การรีวิว iPad 2 ผมจะไม่ขอไปวุ่นวายกับเรื่องการใช้งานพื้นฐานนะครับ ถือซะว่าที่ Apple พยายามวางกุศโลบายเอาไว้ว่ามันใช้ง่ายซะ เหอๆ ฉะนั้น แทนที่ผมจะมาเสียเวลานั่งพูดถึงว่า iPad 2 มันมี User Interface เป็นยังไง แต่ละ App ที่มีมาให้ มันทำอะไรได้บ้าง สู้ผมเอาเวลามาเขียนเปรียบเทียบกันดีกว่า ว่า iPad 2 กับ iPad 1 มันต่างกันยังไง ตรงไหนบ้าง
เพราะผมเชื่อว่า ใครที่มี iPad 1 แล้วอยากสอย iPad 2 ก็กำลังหาเหตุผลดีๆ ให้ตัวเองอยู่ … ส่วนใครที่ยังไม่มีแล้วอยากได้ซักตัว ก็คงอยากได้ข้อมูลไว้ตัดสินใจว่า ระหว่าง iPad 2 ที่จะเข้ามาจำหน่ายในไทยในอีกไม่นานนี้ ซึ่งราคาเริ่มต้นก็น่าจะอยู่ที่ 15,900 บาท สำหรับรุ่น WiFi-Only หรือ 19,900 บาท สำหรับรุ่น 3G + WiFi (เหมือนกับตอนที่ iPad 1 เปิดตัวใหม่ๆ) กับ iPad 1 ซึ่งตอนนี้ราคาก็คงมาเริ่มต้นที่ 12,900 บาท สำหรับรุ่น WiFi-Only หรือ 16,900 บาท สำหรับรุ่น 3G + WiFi ตัวไหนน่าจะเหมาะกว่ากัน
แต่ก่อนที่จะเริ่มเรื่องราว ก็ต้องขอขอบคุณสปอนเซอร์ผู้แสนน่ารักของเราเช่นเคยนะครับ โดยเริ่มจาก
Dell Thailand ซึ่งตอนนี้เริ่มรุกคืบเข้ามาวางรากฐานในประเทศไทยชัดเจนขึ้น ด้วยเว็บไซต์ใหม่ ilovedell.com ครับ สำหรับลูกค้าของ Dell หรือผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ของ Dell เว็บไซต์แห่งนี้จะเป็นเหมือนกับศูนย์กลางสำหรับค้นหาอะไรที่อย่างที่เป็น Dell เลยครับ
Adecco Thailand ตอนนี้จัดกิจกรรม เชิญชวนทุกท่านเข้ามาโพสต์ความหมายของคำว่า “งาน” ในความคิดของคุณ นิยามใครโดนใจกรรมการ ก็รับรางวัลไปเล๊ยยยย รายละเอียดอ่านที่นี่เลยครับ
i-mobile 3GX หนึ่งใน MVNOs ของ TOT3G ซึ่งตอนนี้ก็ต้องบอกว่า ออกโปรแรงโดนใจสุดๆ คือ BB Unlimited นี่แหละครับ 650 บาท/เดือน แม้ว่าจะไม่ใช่เครือข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด แต่ ณ ตอนนี้ในกรุงเทพฯ ก็ครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ หลักๆ ไปเยอะมากแล้วละครับ รายละเอียดอ่านที่นี่เลย
เอาละครับ กลับมาที่เรื่องของเรากันต่อครับ…
ก่อนอื่น เราต้องมาดูก่อนครับว่า ความแตกต่างระหว่าง iPad 2 และ iPad 1 นั้นมีอะไรตรงไหนบ้าง
ฮาร์ดแวร์ภายนอกที่แตกต่าง
ที่เห็นได้ชัดเจน ก็อย่างที่ผมได้บอกไปก่อนหน้าแล้วว่า iPad 2 มันบางกว่า iPad 1 มากๆ เลยทีเดียว … จริงๆ แล้วต้องบอกว่า iPad 2 มันบางกว่า iPhone 4 ด้วยซ้ำไปครับ เพียงแต่เราอาจจะแยกแยะด้วยสายตาได้ยากอยู่ เพราะมันบางกว่ากันแค่ 0.5mm เอง (iPhone 4 หนา 9.3mm ส่วน iPad 2 หนาแค่ 8.8mm) นอกจากนี้ก็
ฮาร์ดแวร์ภายนอกที่แตกต่างกันอีก ก็เห็นจะเป็น
ลำโพง แต่ที่แตกต่างก็เห็นจะเป็นแค่ดีไซน์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยความดังของลำโพงนั้น ฟังด้วยหูของคนทั่วไปแล้ว แยกแยะไม่ออกจริงๆ ว่าตัวไหนดังกล่าวกันครับ
กล้องด้านหน้า และกล้องด้านหลัง … เป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานเรียกร้องตั้งแต่ iPad 1 แล้วละครับ เพราะว่าจะใช้งานในฐานะ Tablet แบบจริงจัง ก็อยากจะทำพวก Video Call บ้างอะไรบ้าง ผลก็คือ ใน iPad 2 เราก็ได้กล้องดิจิตอลด้านหลังความละเอียด 9.2 แสนพิกเซล และกล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 3 แสนพิกเซล คุณภาพก็พอๆ กับ iPod Touch 4th Gen เราดีๆ นี่เองครับ
รูปด้านล่าง เปรียบเทียบคุณภาพของรูป iPad 2 (ซ้าย) กับ iPod Touch 4th Gen (ขวา) ครับ
คุณภาพของวิดีโอที่ถ่ายด้วย iPad 2 และ iPod Touch 4th Gen ครับ
ฮาร์ดแวร์ภายในที่แตกต่าง
ที่ชัดเจนที่สุด คือ CPU ที่เปลี่ยนจาก Apple A4 1GHz Single-core เป็น Apple A5 1GHz Dual-core ครับ และกราฟิกชิปเซ็ตที่เปลี่ยนไป จากเดิม PowerVR SGX535 เป็น PowerVR SGX543MP2 ซึ่งเป็น GPU แบบ Dual-core ทำให้ Apple มาโม้ได้ว่า ประสิทธิภาพ CPU ดีขึ้น 2 เท่า และกราฟิกแรงขึ้น 9 เท่า เลยทีเดียว
ประสิทธิภาพดีขนาดไหนนั้น เว็บ Anandtech.com ได้ทำการวัดประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม GLBenchmark 2.0 เอาไว้ ทำให้เห็นได้ว่า ยิ่งเกมใช้กราฟิกที่ซับซ้อนมากขึ้นเท่าไหร่ (โดยเฉพาะ Anti-aliasing) ก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างด้านประสิทธิภาพของกราฟิกชิปเซ็ตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทีนี้มาดูผลการทดสอบที่ผมทำไว้บ้างครับ … ผมพยายามที่จะหาโปรแกรมมาวัดประสิทธิภาพแล้ว แต่ก็จนด้วยเกล้าจริงๆ ที่ค้นทั้ง App Store แล้วก็เจอแค่ 2 ตัวเท่านั้น ได้แก่ Geek Bench 2 และ LINPACK ครับ
Geek Bench นั้นจะทดสอบทั้งประสิทธิภาพของ CPU/GPU, หน่วยความจำ และอื่นๆ ครับ สังเกตว่า โดยภาพรวมนั้น ความแตกต่างของ iPad 2 กับ iPad 1 มีแค่ราวๆ 67% เท่านั้นเอง
การทดสอบ |
iPad 2 |
iPad 1 |
%ต่าง |
Integer |
676 |
363 |
86.23 |
Floating Point |
905 |
457 |
98.03 |
Memory |
779 |
650 |
19.85 |
Stream |
326 |
308 |
5.84 |
Geekbench Score |
741 |
447 |
65.77 |
ลองทดสอบด้วยโปรแกรม LINPACK ที่ Problem Size n = 2000 ก็ได้ผลแบบนี้ครับ
|
iPad 2 |
iPad 1 |
%ต่าง |
Mflops/sec |
593.357 |
65.675 |
803.47% |
เวลาที่ใช้ในการประมวลผล (วินาที) |
8.9985 |
81.2991 |
-88.93% |
จากกรทดสอบด้วยโปรแกรม LINPACK เนี่ย ทำให้เห็นได้ว่า ยิ่งเพิ่ม Problem Size มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ผลต่างออกมายิ่งมากครับ อันนี้สอดคล้องกับผลการทดสอบด้วย GLBenchmark 2.0 ของ Anandtech.com ครับ คือ ยิ่งการทดสอบมีความซ้อบซ้อนเท่าไหร่ ยิ่งเห็นผลความต่างของประสิทธิภาพในการคำนวณ
หากลองเล่นเกมที่ได้มีการปรับกราฟิกให้รองรับ iPad 2 แล้วละก็ จะเห็นได้ชัดครับว่ามีความแตกต่างกันเยอะมากครับ ดูจากภาพด้านล่างนี่ iPad 1 เทียบกับ iPad 2 จะเห็นว่าทั้งกราฟิกก็มีการทำ Anti-aliasing (ลบรอยหยัก) จนเนียนขึ้นมาก แถมแสงเงาของเกมก็ดูสมจริงสมจังขึ้นมามากด้วย
แน่นอนว่า ความเร็วในการโหลดเกมต่างๆ ก็ย่อมรวดเร็วตามไปด้วยละครับ
ดูจากตัวอย่างของเกม Infinity Blade แล้ว ผมคิดว่า ในอนาคต เกมที่จะดึงความสามารถของพลังในการประมวลผลของ iPad 2 มาได้จะมีขึ้นอีกเยอะ แต่อาจต้องทำใจว่าหากเป็นเกมธรรมดาๆ ที่มีออกมาก่อนหน้า อาจไม่ได้มีการไปอัพเกรดให้ดึงพลังออกมาครับ … ข่าวดีก็คือ ดูเหมือนว่าจะสามารถทำกราฟิกออกมา 2 ชุด สำหรับ iPad 1 และ iPad 2 ได้ ดังนั้น หากคุณมีทั้งสองเครื่อง คุณก็สามารถจ่ายเงินทีเดียวแล้วลงเกมบนทั้งสองเครื่องได้ ไม่มีปัญหาอะไร … คงไม่มีเกมแบบ HD กับ Super HD ขายแยกล่ะนะ อิอิ
ความคาดหวังของผมคือ ค่ายเกมที่ทำเกมกราฟิกสวยๆ อย่าง Square Enix เนี่ย น่าจะออกเกมแนว Final Fantasy แจ่มๆ มาซักทีครับ
แต่ก็อย่างที่บอกครับ สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือความสมจริงสมจังของกราฟิกที่มากขึ้น ทำให้หากว่ากันด้วยการเล่นเกมเพียงอย่างเดียวแล้ว ผู้เล่นอาจไม่ทันได้สังเกตก็ได้ครับ โดยเฉพาะ หากไม่ได้สังเกตแบบเน้นๆ เทียบกันระหว่าง iPad 1 และ iPad 2 แบบเคียงข้างกัน
ลองดูตอนที่ผมเล่น Asphalt 6: Adrenalin HD เทียบ iPad 1 กับ iPad 2 ดูข้างล่างนี่ก็ได้ครับ
อดไม่พูดถึง iMovie ไม่ได้
iPad 2 เปิดตัวพร้อมกับ App 2 ตัว คือ iMovie กับ GarageBand ครับ ถือเป็นตัวชูโรงที่จะเอามาใช้กับ iPad 2 กันเลยละครับ แต่หลายคนอ่านหัวข้อตรงนี้แล้ว อาจงงว่า เอ๊ะ แล้วทำไมผมถึงหยิบแค่ iMovie มาพูดถึง … อ้าว! ก็ผมบอกแล้วว่าภาคนี้จะพูดถึง iPad 2 vs iPad 1 ดังนั้น iMovie เนี่ย เลยเป็นตัว App ที่แตกต่างครับ เพราะว่าการติดตั้ง มันจะตรวจสอบว่า iPad ของคุณมีกล้องด้านหน้าหรือไม่ หากไม่มี ก็จะติดตั้งไม่ได้
พูดง่ายๆ ไม่ใช่ iPad 2 หมดสิทธิ์เล่นนั่นเอง
จนถึงตอนนี้อุปกรณ์ตระกูล “i” ของ Apple ที่มีโปรแกรม iMovie ให้เล่นเนี่ย ก็มี iPod Touch 4th Gen, iPhone 4 และ iPad 2 นี่แหละครับ … ผมก็เลยอยากจัดการประลองการแปลงไฟล์ของทั้ง 3 อุปกรณ์นี้ดูครับ แต่ก่อนอื่น ต้องมาดูพลังในการประมวลผลของแต่ละตัวดูบ้างนะครับ
พลังน้อยสุด เห็นจะเป็น iPod Touch 4th Gen เพราะแม้จะใช้ CPU Apple A4 แต่ก็ความเร็วแค่ 800MHz และมี RAM 256MB ครับ
พลังปานกลาง iPhone 4 ใช้ CPU Apple A4 ความเร็ว 1GHz เหมือน iPad แต่ว่ามี RAM ให้เหลือเฟือ 512MB เลยทีเดียว
พลังรุ่นเฮฟวี่เวท iPad 2 ใช้ CPU รุ่นใหม่ล่าสุด Apple A5 ความเร็ว 1GHz แถมเป็น Dual-core CPU และมี RAM 512MB
และแน่นอนว่าผลก็เป็นไปดังคาด คือ iPad 2 ชนะ iPhone 4 ไปได้หลายสิบวินาทีอยู่ ส่วน iPod Touch 4th Gen นี่ไม่ต้องพูดถึงครับ 3 นาทีผ่านไปยังทำงานไปไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ เลยต้องหยุดการทดสอบก่อน เหอๆ
รายละเอียดก็ดูจากวิดีโอข้างล่างนี่ครับ
ประสิทธิภาพของเว็บบราวเซอร์ที่เพิ่มขึ้น
เมื่อพูดถึงเว็บบราวเซอร์ของ iPad มันก็คือ Safari นั่นเอง ซึ่งใน iPad 2 นั้น Apple ได้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผลโค้ด Javascript ให้มากขึ้น ด้วย Nitro Javascript Engine ครับ ผลก็คือ เมื่อลองทดสอบด้วย SunSpider 0.9.1 แล้วก็เห็นชัดเจนละครับ ว่าการประมวลผลโค้ด Javascript เร็วขึ้นจริงๆ แต่โดยรวมแค่ 37.42% เท่านั้นเอง (รายละเอียดผลการทดสอบ ดูจากรูปด้านล่าง หรือไม่ก็ดูจาก
http://bit.ly/ipadbench ครับ
เว็บ TiPb ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของ iPad 2 เทียบกับ iPad 1 ในส่วนของเว็บบราวเซอร์ ซึ่งได้อานิสงส์จาก RAM ที่เพิ่มขึ้นของ iPad 2 ตามวิดีโอด้านล่างนี่ แสดงให้เห็นว่าหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นของ iPad 2 ช่วยให้การเปิดเว็บหลายๆ เว็บพร้อมๆ กัน แล้วเปลี่ยนหน้าเว็บไปมา มันทำได้ดีกว่ากันเยอะ
ผมก็เลยทดลองบ้างครับ (แต่ในเว็บตัวเอง) โดยเปิดเว็บ 9 เว็บ เทียบ iPad 2 กับ iPad 1 ดูบ้างครับ แต่ก่อนทดสอบ ก็ปิดโปรแกรมทุกอย่างให้หมด แล้วก็ใช้โปรแกม System Monitor ในการเรียกหน่วยความจำคืนมาให้ครบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ผลที่ได้ปรากฏว่า แม้ว่าจะมีความแตกต่างในเรื่องของการ Render หน้าเว็บที่เร็วขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรที่แตกต่างกันมากนักครับ
Photo Booth
App ตัวนึงที่โผล่มาบน iPad 2 แต่ไม่มีใน iPad ตัวแรก (และไม่สามารถลงได้ด้วย) ก็คือ Photo Booth ครับ ก็ไม่ใช่โปรแกรมอะไรที่โดดเด่นครับ ก็แค่เอฟเฟ็กต์ให้กับรูปเท่านั้นเองครับ โดยพื้นฐานก็เป็นรูปจากกล้องหน้า (คงตั้งใจให้ถ่ายรูปตัวเองเป็นหลัก) แต่ก็สามารถสลับไปใช้กล้องหลังได้ครับ
โดยความเห็นส่วนตัว นี่ไม่ใช่ App ที่ “ว้าว!” แต่อย่างใดครับ ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้เราอยากซื้อ iPad 2 มาใช้อย่างแน่นอน
GarageBand
เป็นอีกโปรแกรมนึงที่ไม่รีวิวไม่ได้แล้วจริงๆ สำหรับ GarageBand ที่ราคาแค่ $4.99 แต่ทำให้พวกเราทุกคนที่มี iPad (1 หรือ 2 ก็ได้) สามารถเป็นนักดนตรีสมัครเล่นได้ แม้จะเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นเลย
แต่ผมไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถในการรีวิวโปรแกรมตัวนี้ จึงขอให้ @mrkui หรือ กุ่ย โมโนโทน น้องชายของผมจัดการแทนครับ เชิญดูวิดีโอสาธิต
เลือก iPad 2 หรือ iPad 1 ดี?!?
ขอปิดท้าย ด้วยความเห็นส่วนตัว เผื่อใครที่อ่านตั้งแต่ตอนต้นจนจบแล้ว ยังตัด(สิน)ใจไม่ได้ซะที ว่าจะเลือกใช้ iPad 1 หรือ iPad 2 ดี เลยขอบังอาจแนะนำว่า
เลือก iPad 1 เถิด หากคุณ…
ใช้งานโปรแกรมพื้นๆ เป็นหลัก เช่น ท่องเว็บผ่าน Safari, เล่น Social Media อย่าง Twitter, Facebook, ดูหนังฟังเพลงแบบชิลๆ หรือดู YouTube เป็นต้น
เป็นคนเน้นเล่นเกม แต่ไม่ใช่คนช่างสังเกต (เหมือนกับผมนั่นแหละ) เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คุณจะไม่ทันสังเกตหรอกว่า กราฟิกของเกมมันดีขึ้นมา
เป็นคนเล่นเกมแบบง่ายๆ เช่น พวกเกมกระดาน หรือ เกมเด็กๆ เล่นกันอย่าง Monopoly อะไรทำนองนี้
ใช้โปรแกรมทำงานบ้าง แต่เป็นพวก iWorks อะไรทำนองนี้
งบน้อย แต่อยากมีสินค้า Apple ใช้กับเขาบ้าง เพราะ iPad 1 มันเริ่มต้นที่ 12,700 บาท สำหรับรุ่น 16GB WiFi ไปจนสุดที่ 20,400 บาท สำหรับรุ่น 64GB 3G + WiFi (ราคาของ iStudio ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2554)
เลือก iPad 2 ได้เลย หากคุณ
เน้นเล่นเกมแบบที่ต้องการกราฟิกระดับเทพ เป็นคนช่างสังเกต เห็นกราฟิกที่แหล่มเป็ดขึ้นชัดๆ
ต้องการใช้กล้องดิจิตอล และเว็บแคม
อยากเล่น FaceTime
อยากเผื่อฮาร์ดแวร์สำหรับ App ต่างๆ ในอนาคต ที่คาดว่าจะต้องใช้สเปกแรงๆ อย่างคุ้มค่า
มีงบพอสมควร คือ กะเก็บไว้ซื้อ iPad 1 อยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ซื้อ iPad 2 ก็โผล่มายั่วใจซะก่อน (อิอิ)
ที่มา :
http://kafaak.wordpress.com/